หอการค้าฯ พบ “พิธา” แถลงภายหลังพรรคก้าวไกลนำทีมเศรษฐกิจ

หอการค้าฯ – นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วยนายสนั่น อังอุบลกุล ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย แถลงภายหลังพรรคก้าวไกลนำทีมเศรษฐกิจ เข้าหารือชี้แจงถึงความคืบหน้าเรื่องการจัดตั้งรัฐบาล คณะกรรมการประสานงานช่วงเปลี่ยนผ่านว่ามีใครบ้าง ซึ่งได้มีการตั้งคณะทำงานด้านแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องและ SME เรื่องการแก้ปัญหาคอร์รัปชั่น การขับเคลื่อนโครงการพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เศรษฐกิจ BCG และการค้าชายแดน รวมถึงตัวเลขส่งออก เงินเฟ้อ และตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ

นายสนั่น กล่าวว่า สิ่งที่สภาหอการค้าแห่งประเทศไทยต้องการมากที่สุด คือ ถ้าเป็นไปได้ ต้องการเห็นการจัดตั้งรัฐบาลให้สำเร็จเร็วที่สุดภายในกันยายนนี้ ซึ่งทุกคนพร้อมสนับสนุน เพราะการตั้งรัฐบาลที่ล่าช้าย่อมจะเกิดความเสียหายแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลจากพรรคใดก็ตาม ดังนั้นจึงต้องดำเนินการให้เร็ว เพื่อประโยชน์ของประชาชนทั้งชาติ

ส่วนการแก้ปัญหาเรื่องต้นทุนพลังงานนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่คนส่วนใหญ่เจอ นอกจากนี้ ยังมีปัญหาในภาคเกษตร ปัญหาของผู้ประกอบการ SME จึงควรมีมาตรการออกมาช่วยเหลือ เพื่อต่อลมหายใจให้เร็วที่สุดที่เป็นไปได้

ความเห็นการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำของหอการค้าฯ

สำหรับการจะปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 450 บาทนั้น นายสนั่น กล่าวว่า หอการค้าฯ เห็นด้วยกับการขึ้นค่าแรง แต่ควรพิจารณาจังหวะเวลา และอัตราการปรับขึ้นค่าแรงที่เหมาะสม ต้องดูในเชิงลึก เพราะมีกลไกไตรภาคีของแต่ละจังหวัด มีทั้งนายจ้าง ลูกจ้าง และภาครัฐ แต่ตนเชื่อว่าพรรคก้าวไกลคงฟังเสียงจากประชาชนมาแล้ว ซึ่งการขึ้นค่าแรง จะต้องทำให้ฝ่ายแรงงานอยู่ได้ ซึ่งเรามีจุดยืนตรงกันและเห็นว่า เรื่องเหล่านี้จะต้องจับเข่าคุยกัน

นอกจากนี้ มีความเป็นห่วงเรื่องงบประมาณรายจ่าย การทำงบประมาณฐานศูนย์ ถ้าทำช่วงที่มีเวลาจำกัด จะทำให้งบเบิกจ่ายไม่ทัน และกระทบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจได้

นายสนั่น มองว่า นโยบายเศรษฐกิจ พรรคก้าวไกล และมาตรการแก้ปัญหาตรงกับแนวทางที่สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย มีการตั้งนโยบายอยู่แล้ว ซึ่งสภาหอการค้าไทย ต้องทำงานร่วมกับทุกรัฐบาลอยู่แล้ว เราต้องการให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ ซึ่งในระยะสั้นต้องการเห็นการกระตุ้นเศรษฐกิจเกี่ยวกับการท่องเที่ยว ซึ่งตรงกับสภาหอการค้าฯ ต้องการที่จะส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง ดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ และที่ประชุมได้มอบหมาย ให้นายกฤษณะ วจีไกรลาศ เลขาธิการหอการค้าไทย ประสานงานกับ น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกลต่อไป

จากนั้นนายพิธา ได้มีการชี้แจงประเด็นการปรับขึ้นค่าแรง 450 บาทว่า จะมอบหมายให้คณะทำงานด้านการแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องและ SME ไปหารือกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) สภาหอการค้าฯ แล้วมาพูดคุยกันอีกครั้ง เพื่อหาข้อสรุปตรงกัน พร้อมกับยืนยันว่าจากผลการศึกษา แม้จะมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ก็ไม่ได้ส่งผลให้เงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้นทันที

ส่วนในประเด็นเรื่องค่าแรงขั้นต่ำขึ้นไม่ทันผลิตภาพแรงงาน นายพิธา กล่าวว่า เหรียญมีสองด้าน เราต้องการให้แรงงานลืมตาอ้าปากได้ เมื่อมีชีวิตที่พออยู่ได้เราจะพัฒนาฝีมือแรงงาน ส่วนฝั่ง SME มีนโยบายเพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย และสิ่งที่รัฐบาลนำเสนอลดต้นทุนอื่นๆ เช่น หากมีการนำเทคโนโลยีมาใช้แทนแรงงาน รัฐบาลจะเข้ามาส่งเสริมอย่างไรนั้น จะได้มีโอกาสพูดคุยกันมากขึ้น

สำหรับการบริหารงบประมาณปี 67 ต้องคำนึงถึงเวลาในการทำงาน และการใช้ภาษีประชาชนให้คุ้มค่า ซึ่งปี 67 ข้อมูลจากรัฐบาลระบุว่า มีงบประมาณอยู่ 2.5 แสนล้านบาท ที่ใช้บริหารจัดการโดยไม่ต้องมีการรื้องบประมาณ แต่ทางสำนักงบประมาณ ระบุว่า พร้อมจะรื้อได้ โดยให้คณะทำงานไปพูดคุยกับสำนักงบประมาณว่า มีเรื่องใดบ้างที่ต้องตัดสินใจสำคัญ และมีงบประมาณเพียงพอหรือไม่ เช่น เรื่องเรือรบจากจีน 3.5 หมื่นล้านบาท ยังไม่ตัดสินใจรอให้รัฐบาลตัดสินใจ ซึ่งทางเรายังไม่มีโอกาสได้ทำงาน นี้คือโอกาสคณะทำงานที่เราตั้งขึ้น เพื่อได้ปรึกษาหารือกัน เมื่อเริ่มทำงานเป็นรัฐบาลแล้วจะตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรกับเรื่องเหล่านี้ฟ

ส่วนกรณีที่มี ส.ว.บางครตั้งข้อสังเกตว่า คณะกรรมการประสานงานช่วงเปลี่ยนผ่าน เร็วเกินไปหรือไม่ และเหมือนกับเป็นความพยายามสร้างมวลชนเป็นแรงสนับสนุนและผลักดัน รวมถึงเป็นแรงกดดันคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่ต้องรับรอง ส.ส.นั้น นายพิธา มองว่า ความเดือนร้อนของประชาชนรอไม่ได้ ซึ่งรูปแบบการตั้งคณะกรรมการประสานงานช่วงเปลี่ยนผ่าน ถ้าเป็นในต่างประเทศถือเป็นเรื่องปกติมาก

นายพิธา กล่าวว่า หอการค้าฯ ระบุว่า หากปี 2568 สามารถทำงบประมาณฐานศูนย์ และมีงบประมาณที่ยืดหยุ่นสอดคล้องกับความท้าทายแต่ละปี ย่อมดีกับการทำงานภาคเอกชน แต่ถ้าช่วงนี้เศรษฐกิจมีความผันผวนมาก ก็อยากให้ทำให้เศรษฐกิจมีความแน่นอนไว้ก่อน

นายพิธา กล่าวตอบคำถามกรณีมีกระแสข่าวว่า อาจมีการเลือกตั้งใหม่ หากถูกศาลวินิจฉัยเรื่องขาดคุณสมบัติจากกรณีถือครองถือหุ้นไอทีวีว่า ขึ้นอยู่กับคำร้อง โดยทางพรรคก้าวไกลเตรียมไว้หลายรูปแบบ ขออย่าเพิ่งตีตนก่อนไข้

หลังจากนี้ จะเดินทางไปหารือกับส่วนงานบริหารท้องถิ่น โดยมีกำหนดว่าสัปดาห์หน้าจะไปหารือกับนายชัชชาติ สิทธิพันธ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมทั้งจะไปพูดคุยกับสมาคมธนาคารไทย สมาคมท่องเที่ยวที่ภูเก็ต เพราะในที่สุดแล้วก็ต้องมีการแถลงนโยบายกับทางสภาฯ จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้มีการทำงานล่วงหน้า ซึ่งเชื่อว่าจะดีกว่ารอให้เกิดปัญหา

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (31 พ.ค. 66)

หอการค้าฯ

ความเป็นมาของหอการค้าไทย

“หอการค้า” กำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรกของโลก เมื่อปลายคริสต์ศตวรรษที่ 14 ณ เมืองมาแซล ประเทศฝรั่งเศส โดยมีบทบาทในการส่งเสริม ช่วยเหลือ และรักษาผลประโยชน์ของกลุ่มพ่อค้าที่เป็นสมาชิก

คุณูปการของการก่อตั้งหอการค้าฯ นี้ ทำให้พ่อค้าเมืองมาแซลสามารถรวมตัวกันเพื่อพิทักษ์ผลประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นับตั้งแต่นั้น พ่อค้านักธุรกิจแทบทุกประเทศทั่วโลกก็ได้มีการรวมกลุ่มในลักษณะเช่นเดียวกันนี้ เพื่อดำเนินงานด้านส่งเสริมการค้า การเกษตร การอุตสาหกรรมและการเงินให้สอดคล้องกับธุรกิจภายในประเทศของตน และเพื่อรักษาผลประโยชน์ของสมาชิกเป็นสำคัญ

ในขณะเดียวกัน การพาณิชย์ในประเทศไทยยังเป็นไปในรูปแบบต่างคนต่างค้า พ่อค้าจะมีการหารือรวมกลุ่มกันบ้างก็เฉพาะผู้ค้าสินค้าประเภทเดียวกัน  ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงและกรมที่ราชการตั้งขึ้นเพื่อบำรุงส่งเสริมและเผยแพร่การพาณิชย์เท่านั้น จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2475 แนวความคิดเรื่อง หอการค้าไทย ในประเทศไทยจึงกำเนิดขึ้น โดยพ่อค้าหัวก้าวหน้าและมีการศึกษาดีกลุ่มหนึ่ง ภายใต้การนำของ นายเล็ก โกเมศ ซึ่งพิจารณาเห็นว่า ในเมื่อต่างประเทศแทบทุกแห่งล้วนมีหอการค้าประจำประเทศนั้นๆ ซึ่งสามารถอำนวยประโยชน์ให้กับพ่อค้า ประชาชน รวมไปถึงประเทศชาติได้อย่างมหาศาล ประเทศไทยเองก็มีพ่อค้านักธุรกิจชาวไทยอยู่จำนวนไม่น้อย ถ้าหากรวมตัวกันได้เป็นปึกแผ่น ย่อมส่งผลดีทั้งในแง่ของการดำเนินอาชีพได้สะดวกลุล่วง และเกิดพลังที่จะต่อรองประสานงานกับรัฐบาลได้ราบรื่นขึ้น

อันความคิดริเริ่มนั้น หากไม่มีผู้ลงมือกระทำย่อมไม่เกิดผล เช่นเดียวกับจุดเริ่มต้นของหอการค้าฯ นายเจือ เพ็ญภาคกุล หนึ่งในผู้ริเริ่มก่อตั้งหอการค้าไทย ได้กล่าวถึงเหตุการณ์นี้ไว้ในหนังสือ เล็ก โกเมศ อนุสรณ์ (พิมพ์ในงานฌาปนกิจศพนายเล็ก โกเมศ เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2505) ว่าสมควรยกย่องนายเล็ก โกเมศ เป็นอย่างยิ่ง เพราะแรกเริ่มที่มีการรวมกลุ่มปรารภกันเรื่องหอการค้าที่สโมสรสามัคคีจีนสยาม ตรอกกัปตันบุช นั้น มีบรรดาพ่อค้าปรับทุกข์เรื่องถูกบีบคั้นจากอิทธิพลและอำนาจต่างชาติมากมาย แต่นายเล็ก โกเมศ เป็นผู้เดียวที่เอาจริงเอาจังในการจัดตั้งหอการค้าไทยโดยให้คำรับรองว่าจะอุปถัมภ์ให้เกิด  Chamber of Commerce ของไทย และยินดีให้ใช้บ้านของตนเป็นสถานที่ประชุมปรึกษาหารือ

ต่อมา ในวันที่ 16 ธันวาคม 2475 ปรากฏหลักฐานว่ามีการประชุมเรื่องการจัดตั้งหอการค้าไทยที่บ้านของนายเล็ก โกเมศ ตำบลตรอกกัปตันบุช โดยมีผู้เข้าร่วมประชุม 6 ท่าน คือ

  1. พระยาภิรมย์ภักดี (บุญรอด เศรษฐบุตร)
  2. นายเล็ก โกเมศ
  3. นายเจือ เพ็ญภาคกุล
  4. นายทองดี อิศระกุล
  5. นายย่งฮั้ว แซ่ฮุน
  6. นายเอ้ง ภาคสุวรรณ

ในการประชุมหอการค้าฯ ครั้งนั้น นอกจากจะตกลงกันเรื่องจะจัดตั้งหอการค้าไทยแล้ว ยังได้กำหนดชื่อหอการค้าเป็นภาษาอังกฤษว่า Siamese Chamber of Commerce

บทบาทและภารกิจที่สำคัญของหอการค้าฯ

1. ส่งเสริมวิสาหกิจ หอการค้าไทยมีหน้าที่ในการส่งเสริมผู้ประกอบการ เพื่อผลประโยชน์ทางการค้าและการลงทุนในทุกภาคส่วนทั้งภาคเอกชนและรัฐบาล โดยทำหน้าที่เผยแพร่ข่าวสารในด้านต่างๆ เกี่ยวกับการค้าและการลงทุน งานวิจัยและสถิติด้านการค้า การประเมินสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในประเทศ การจัดงานแสดงสินค้าต่างๆ และมีบทบาทในการไกล่เกลี่ยในกรณีที่ปรากฏข้อพิพาททางการค้า

2. ให้คำปรึกษาและคำแนะนำกับสมาชิก เกี่ยวกับการค้าและการลงทุน สถานการณ์ในตลาด การเงิน การเกษตร อุตสาหกรรรมในทุกภาคส่วน

3. ให้คำปรึกษาและข้อแนะนำกับภาครัฐบาลเพื่อเป็นแนวทางในการนำไปต่อยอดและพัฒนาเป็นยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจเพื่อผลประโยชน์โดยรวมของประเทศ

4. ช่วยอำนวยความสะดวกในการประสานงานระหว่างนักธุรกิจในภาคเอกชนกับทางราชการ มีการสร้างเครือข่ายระหว่างกลุ่มผู้ประกอบการ และให้คำแนะนำในการติดต่อราชการทั้งในและต่างประเทศ เช่น การลงทุนของผู้ประกอบการต่างชาติในไทย และของนักธุรกิจไทยในต่างประเทศ เป็นต้น

หอการค้าฯ องค์กรนี้มีบทบาทสำคัญในการช่วยลดอุปสรรคที่กีดกันความยากลำบากในการลงทุนกับผู้ประกอบการและนักธุรกิจทั้งไทยและต่างประเทศ มีเครือข่ายที่แข็งแกร่งในการร่วมงานกับรัฐบาล เช่น ในกรณีที่รัฐบาลมีการส่งเสริมความสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุนกับต่างประเทศ หอการค้าจะเป็นผู้ประสานงานหลักโดยให้ความสะดวกแก่นักลงทุนและกระตุ้นให้เกิดผลประโยชน์ร่วมกันกับทุกฝ่ายๆ เพื่อความเจริญก้าวหน้าของผลประโยชน์ประเทศโดยรวมในทุกๆ ด้าน

ที่มา

 

ติดตามอ่านข่าวเพิ่มเติมได้ที่  dinningtonrugby.net

สนับสนุนโดย  ufabet369